“ทนายเกิดผล” เห็นต่างจำคุก “ลุงวิศวะ” 10 ปี ชี้แค่ป้องกันตัว
จากกรณีที่ ศาลจังหวัดชลบุรี ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาคดีที่ 2941/2560 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี และนางสาวมณีพร ผึ่งพาย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือ ลุงวิศวะ จำเลยผู้ก่อเหตุยิงปืนใส่รถตู้ของกลุ่มวัยรุ่น เป็นเหตุให้นายนวพล ผึ่งผาย หรือปอนด์ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 60 ที่ถนนสายอ่างศิลา-สุขุมวิท ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี คดีนี้มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความวันที่ 27 ก.ย. 61 นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เผยว่าหลังจากที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นออกมานั้น หากในชั้นศาลมีการสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมนอกเหนือจากคลิปที่เผยแพร่ออกมา แล้วหากสามารถบ่งชี้ได้ว่า “เป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทจริง” ก็จะไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวได้ ซึ่งก็ถูกต้องตามที่มีการพิจารณาบนชั้นศาลแล้ว
แต่ในมุมมองของตนนั้นไม่เห็นด้วย เนื่องจากคลิปที่ปรากฎในตอนแรกและตอนท้าย มองว่าการทะเลาะในช่วงแรกนั้นจบลงแล้ว จากนั้นจึงมีการขับรถไล่ตามกันมา ซึ่งลุงวิศวะเป็นผู้ถูกกระทำ ส่วนการพิจารณาของศาลที่ระบุว่าลุงวิศวะขับรถปาดหน้าตั้งใจยั่วยุนั้น มองว่าไม่ตรงกับภาพที่ปรากฎในคลิป อีกทั้งเสียงสุดท้ายก่อนจอดรถ ลุงวิศวะเองมีการพูดในเชิงว่า “มีป้อมยาม ต้องลงไปขอความช่วยเหลือ ก่อนจะจอดรถ” ซึ่งไม่ใช่การปาดหน้ารถแต่อย่างใด ประกอบกับหลังจากที่จอดรถแล้วลุงวิศวะ กลับถูกกลุ่มผู้ตายหลายคนจู่โจมเข้ามามีท่าทีที่ก้าวร้าว บังคับให้ลงจากรถ และถูกทำร้ายร่างกายก่อน จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิง เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยใน หากไม่ใช่อาวุธปืนยิงป้องกันก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ สัมภาษณ์ทนายเกิดผล
ในขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า ลุงวิศวะไม่ได้มีการใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายก่อน ไม่มีเจตนานำอาวุธปืนมาทำร้ายใคร ซึ่งยิงออกไปเพียง 1 นัด ทั้งยังไม่ได้ตามทำร้ายใครต่อและหลังเกิดเหตุอยู่รอพบเจ้าหน้าที่ไม่มีท่าทีหลบหนีแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีคำพูดในลักษณะการขอร้องให้ยุติการทะเลาะวิวาท ไม่ได้มีคำพูดเชิงท้าทายหรือหาเรื่องตามคำพิจารณาของศาลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทนายเกิดผลมองว่าการตัดสินของศาลในความผิด “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” นั้น แรงเกินไป เพราะตนมองว่า “เป็นการป้องกันตัวและไม่เกินกว่าเหตุ” เนื่องจากลุงวิศวะคือผู้ถูกกระทำก่อน ไม่ใช่คนหาเรื่อง การพิพากษาของศาลควรจะเป็นความผิด “ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุก็พอ”